สุขภาพดี เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกวัยในปัจจุบันต้องการ ซึ่งการที่เราจะมีสุขภาพที่ดีนั้น การอยู่เฉยๆ ไม่สามารถช่วยท่านได้ จะต้องอาศัยการดูแลสุขภาพด้วยตนเองอย่างเหมาะสมและถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต การพักผ่อนที่เพียงพอ การทำกิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะสม ไม่มากและไม่น้อยเกินไป รวมไปถึงการออกกำลังกาย ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายมีความแข็งแรง สดชื่น กระฉับกระเฉง เป็นอย่างดี  

ในบทความนี้จะขอพาทุกๆ ท่านมาทำความเข้าใจใน “วิธีการออกกำลังกายอย่างไร? ให้มีประสิทธิภาพต่อร่างกาย” เพื่อป้องกันอันตรายจากการออกกำลังกายแบบผิดๆ ในอนาคตของทุกท่านกันครับ

สุขภาพร่างกายที่ดีเป็นอย่างไร ?

สุขภาพที่ดี หมายถึง ภาวะที่เรามีความสุขกาย สุขใจ ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่เครียด จิตใตแจ่มใส เป็นต้น ซึ่งการจะมีสุขภาพที่ดีนั้น ต้องอาศัยการดูแลทั้งในเรื่องของร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์เหมาะสมอยู่เสมอครับ

การออกกำลังกายส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างไร ?

มีงานวิจัยกำกับไว้ว่า “การออกกำลังกายเป็นประจำส่งผลดีต่อสุขภาพและช่วยในการลดน้ำหนัก” ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รักษามวลกล้ามเนื้อให้คงที่ สามารถลดความเครียดต่างๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นอีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และโรคอ้วนอีกด้วย

วิธีออกกำลังกายสำหรับผู้ที่เริ่มต้น

สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน อาจเริ่มเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายเบื้องต้นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

หยืดกล้ามเนื้อ เป็นกิจกรรมแรกที่ทุกๆ ท่านที่อยากออกกำลังกายต้องปฏิบัติก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องการอาการบาดเจ็บในภายหลัง ซึ่งสามารถทำได้โดยการเหยียดแขน ขา ข้อศอก ยืดลำตัวตรง เป็นต้น

คาร์ดิโอ คือ วิธีที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น โดยอาจเริ่มออกกำลังโดยการเดินหรือวิ่งประมาณ 20-30 นาที จำนวน 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากความเหนื่อยจะเกิดขึ้น เราสามารถวัดว่าการออกกำลังกายที่ทำอยู่นั้นหนักเกินไปหรือไม่ ด้วยการพูด ซึ่งถ้าหากสามารถพูดคุยได้ตามปกติโดยไม่หอบเหนื่อยจนเกินไปแสดงว่าออกกำลังกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมนั้นเอง

การฝึกกล้ามเนื้อ อาจเริ่มฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ โดยเลือกอุปกรณ์สำหรับฝึกกล้ามเนื้อที่สามารถยกได้เป็นเซ็ตๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักหรือจำนวนครั้งให้มากขึ้น และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรบริหารกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และห้ามฝึกกล้ามเนื้อส่วนเดเดียวกันติดต่อกัน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักและพัฒนา

นอกจากนี้ช่วงก่อนการหยืดกล้ามเนื้อและก่อนเริ่มต้นออกกำลังควรอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเตรียมร่างกายให้พร้อม เมื่อออกกำลังกายเสร็จก็ควรคลายกล้ามเนื้อเพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งเราจะเรียกกิจกรรมเหล่านี้ว่า”Warm up” และ “Cool down” นั้นเอง

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย 

1. การออกกำลังทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ คล่องแคล่ว สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกสบาย
2. การออกกำลังจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียบางส่วนออกจากร่างกาย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์   ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อหรือปัสสาวะ นั้นเอง
3. การออกกำลังช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี
4. ช่วยให้การทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไตหรือระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นอย่างดี
5. สามารถช่วยลดไขมันส่วนเกินหรือไขมันไม่ดีในหลอดเลือด กล้ามเนื้อและยังเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น
6. การออกกำลังยังสามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลวิธีการออกกำลังกายตั้งแต่เริ่มต้นให้มีประสิทธิภาพและดีต่อร่างกาย เราหวังว่าบทความนี้จะสามารถช่วยให้ทุกๆ ท่านสามารถเริ่มต้นออกกำลังกายได้ดีและปลอดภัยต่อไปครับ

การดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบันนั้น จะต้องดูแลในทุกๆ ด้านเพื่อให้สุขภาพดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกาย การนอน การพักผ่อนหรือแม้กระทั้งในเรื่องของการกิน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สุขภาพของท่านดีและแข็งแรงทั้งสิ้น ในบทความนี้จะขอพาทุกๆ ท่านมารู้จักกับการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีพร้อมกับยกตัวอย่าง “อาหาร 10 อย่างที่กินแล้วดีต่อสุขภาพ” ที่เราจะขอแนะนำให้กับทุกๆ ท่าน เพื่อเป็นทางเลือกในการกินที่ดีนั้นเองครับ

เลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพแบบง่ายๆ ทำอย่างไร ?

ร่างกายของคนเรานั้นต้องการสารอาหารต่างๆ เพื่อให้ใช้เป็นพลังงานและซ่อมแซมร่างกาย เสริมส่วนต่างๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ การเลือกกินอาหารที่ดีนั้น จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพียงพอกับความต้องการ สามารถทำด้วยวิธีง่ายๆ ได้แก่
– พยายามกินอาหารครบ 5 หมู่ ควบคู่กับกสนดูแลน้ำหนัก
– กินแป้งอย่างพอเหมาะ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป เพื่อป้องกันการสะสมของระดับน้ำตาลในอนาคต
– กินพืชและผลไม้เป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามินและอาศัยกากใยในการช่วยดูแลลำไส้
– กิเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อยๆ  กินไข่และถั่วเพื่อเพิ่มโปรตีนจากพืชได้เพิ่มขึ้น
– ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกายมากที่สุด
– ลดการกินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็น หวานจัด เผ็ดจัด มันจัดหรือเค็มจัด เนื่องจากรสชาติที่เกินความพอดีส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้
– พยายามงดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพื่อสุขภาพที่ดีและป้องการเกิดอุบัติเหตุจากความันเมาอีกด้วย

10 อาหารดีต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง ?

1. สลัดอกไก่ฉีก เมนูนี้จะประกอบไปด้วยอกไก่ที่เป็นเนื้อไก่ส่วนที่มีไขมันน้อยที่สุดและมีโปรตีนที่ร่างกายของเราต้องการ ทานคู่กับผักสลัดหลากสี ไม่ว่าจะเป็นผักสลัด มะเขือเทศ แครอท เป็นต้น คู่กับน้ำสลัดง่าแคลลอรี่ต่ำ ได้ทั้งโปรตีนและวิตามีนพร้อมกากใยอีกด้วย
2. ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เป็นเมนูที่มีทั้งหน้าตาที่สวยงามน่าทาน มาพร้อมกับคุณประโยชน์ เป็นเมนูที่ใช้สารพัดผักเป็นเครื่องปรุง ทานกับแป้งห่อก๋วยเตี๋ยวแบบพอดีคำ มาคู่กับน้ำจิ้มลุยสวนรสจัดจ้าน เพื่อความอร่อยในการรับประทาน สอดไส้ด้วยเนื้อปลาชนิดต่างๆ ตามความชอบ และแป้งที่ใช้ห่อเป็นแป้งที่มีแคลอรี่ที่ต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักเป็นอย่างดีครับ
3. สุกี้ เป็นอีกหนึ่งเมนูยอดนิยมที่มีความอร่อย ที่ประกอบไปด้วยหมู ซึ่งจะเลือกเนื้อส่วนที่มีไขมันต่ำ มาพร้อมกับผักหลายชนิดจะเป็นสุกี้น้ำหรือแห้งก็สามารถรับประทานพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด อร่อยดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ
4. ส้มตำ ไก่ย่าง เป็นเมนูที่คู่กับคนไทย อร่อยถูกปาก ด้วยตัวเส้นมะละกอที่มีสรรพคุณช่วยล้างพิษในลำไส้ มะเขือเทศช่วยบำรุงผิว ถั่วฝักยาวที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รับประทานคู่กับไก่ย่างเพื่อเสริมโปรตีนให้กับร่างกาย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์กว่าที่ทุกๆ คาดถึงเลยหล่ะครับ
5. มันต้มหรือมันย่าง  เป็นเมนูยอดนิยมสำหรับผู้ที่กำลังต้องการควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพที่สามารถหาทานได้ง่าย และทำเองก็ไม่ยากอีกด้วยครับ
6. ข้าวมันไก่เนื้อส่วนอกไม่หนัง เมนูข้าวมันไก่เป็นเมนูที่อร่อย สามารถหารับประทานได้ง่ายๆ ซึ่งเราสามารถรับประทานได้โดยการเลือกส่วนของเนื้อไก่และลดการกินหนังซึ่งเป็นส่วนที่มีไขมันสูง  แค่เลือกส่วนประกอบ ข้าวมันไก่ก็เป็นอาหารสุขภาพที่ดีเลยหล่ะครับ
7. ข้าวยำปักษ์ใต้ เป็นเมนูที่รวบรวมผักและสมุนไพรหลากชนิด ทานคู่กับข้าวกล้องและน้ำวูดูที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ อร่อยและดีต่อสุขภาพมากๆ เลยครับ
8. สเต็กสันใน เนื้อหมูสันในเป็นส่วนที่มีไขมันน้อยกว่าส่วนอื่นๆ ผ่านการปรุงที่ใช้น้ำมันน้อย ทานคู่กับผักสลัดหลากสี ได้ทั้งโปรตีนและวิตามินที่ดีต่อสุขภาพครับ
9. ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ เป็นอีกหนึ่งเมนูสากลที่สามารถทำได้ง่าย รับประทานได้คล่อง เหมาะกับผู้ที่ต้องการกินอาหารร้อนๆ แถมดีต่อสุขภาพด้วยครับ
10. สเต็กปลาแซลมอน  เนื้อปลาแซลมอนมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง อาทิเช่น มีโอเมก้า 3 ที่ร่างกายของเราต้องการ โปรตีน สามารถทานได้ง่าย อร่อยและดีต่อสุขภาพเช่นกันครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ  “10 อาหารดีต่อสุขภาพ” พร้อมกับการกินที่ต่อร่างกายที่เรานำมาฝากทุกๆ ท่านกันในวันนี้ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยเป็นทางเลือกในการกินหรือรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของท่านได้เป็นอย่างดีครับ

ปัญหาสุขภาพของมนุษย์เราในยุคปัจจุบันนั้น เรียกได้ว่ามีการให้ความสำคัญไปตั้งแต่เรื่องของการตื่นไป การกิน การทำกิจกรรมต่างๆ ไปจนถึงการเข้านอน โรคต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่กับคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การดูแลสุขภาพตนเองเป็นอย่างดี ย่อมมีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่าผู้คนที่ไม่ดูแลตนเองอย่างแน่นอนใช่มั้ยหล่ะครับ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว จะต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่สภาพร่างกายของตนเองเป็นพิเศษกว่าคนทั่วๆ ไปในทุกๆ ด้าน ไม่เว้นแม้กระทั้งสุขภาพฟันก็ต้องดูแอย่างใกล้ชิด วันนี้เราจะพาทุกๆ ท่านมาแนะนำและให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่อง “ผู้ที่มีโรคประจำตัว ต้องดูแลสุขภาพฟันอย่างใกล้ชิด” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ

ทำไมผู้สูงอายุถึงพบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพฟันมากกว่าวัยอื่นๆ?

ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดฟันผุบริเวณผิวรากฟันได้มากกว่าช่วงอายุอื่นๆ เนื่องจากภาวะปากแห้ง น้ำลายน้อย ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย อาทิเช่น การเสื่อมถอยของร่างกายอย่างปัญหาเหงือกร่น โรคประจำตัวต่างๆ ที่จะต้องรับประทานยาหลายกลุ่ม ซึ่งยาบางชนิดนั้นส่งผลต่อการสร้างและการหลั่งของน้ำลายได้เช่นกัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์อันไม่พึ่งประสงค์ก่อไปสู่การติดเชื้อได้ในอนาคต 

ที่มีโรคประจำตัวควรดูแลสุขภาพฟันอย่างไร?

สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว สามารถสังเกตปัญหาสุขภาพฟันได้เบื้องต้น ดังนี้
– หมั่นสำรวจสภาพข่องปาก เหงือกและฟัน เพื่อลดการสะสมของเศษอาหารที่จะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในอนาคต
– หมั่นทำความสะอาด แปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟันและบ้วนปากทำความสะอาดช่องปากอย่างทั่วถึง แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-ก่อนนอน
– หมั่นเข้าพบทันตแพทย์ทุกครั้งตามหมายนัด เพื่อการป้องกันที่ได้ประสิทธิภาพ

ตัวอย่างกลุ่มผู้ป่วยโรคประจำตัวต่างๆ ที่ต้องใส่ใจสุขภาพช่องปากและฟัน

1. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน กลุ่มผู้ป่วยนี้จะมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ก่อให้เกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่ายและมีความรุนแรงกว่าคนทั่วไป

2. ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มผู้ป่วยนี้ หากมีแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือเชื้อผิดปกติเข้าสู่ร่างกาย อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายและอันตรายกว่าคนทั่วไป
3. ผู้ป่วยไต กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ต้องอาศัยการฟอกไตหรือเป็นประจำ หากเกิดปัญหาสุขภาพปากและฟัน จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

หากเราดูแลสุขภาพฟันไม่ดีจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?

เมื่อเราละเลยการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน จะก่อให้เกิดผลเสียขึ้นได้ทั้งในบุคคลทั่วไปและยิ่งส่งผลร้ายมากขึ้นในผู้ที่มีโรคประจำตัว ยกตัวอย่างเช่น
– เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ หากเราทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดี เชื้อโรคที่หลงเหลืออยู่บนผิวฟัน จะเกิดการย่อยสลายอาหารและปล่อยกรดออกมากัดกร่อนฟันจนผุและเหงือกบวม จนถึงขั้นเหงืออักเสบได้อีกด้วย
– เกิดการควบคุมโรคเบาหวานได้ยาก โดยมีงานวิจัยมากมายที่พบว่า โรคเบาหวานและโรคเหงือกอักเสบมีความเชื่อมโยงกันผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหงือกอักเสบได้ง่ายและมีความรุนแรงสูง
– เกิดการติดเชื้อที่หัวใจ มีงานวิจัยที่ตรวจพบเชื้อซึ่งทำให้เกิดโรคฟันผุที่บริเวณเยื่อบุหัวใจหรือลิ้นหัวใจที่อักเสบ ทำให้เชื่อว่า เชื้อฟันผุจากในช่องปากอาจเข้าสู่กระแสเลือดและเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้
– ก่อเกิดเป็นมะเร็งช่องปาก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกินอาหารรสจัด รวมถึงการละเลยเรื่องสุขภาพช่องปาก ฟันเกิดการบิ่น แตก หัก เกิดการระคายเคืองเหงือกและกระพุ้งแก้มหรือเพดานปาก บ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งในช่องปากได้

ทุกๆ ท่านคงเข้าใจกันแล้วใช่มั้ยหล่ะครับว่า การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันนั้นสำคัญการใช้ชีวิตของท่านมากขนาดไหน หากไม่อยากเสียใจ เสียตังค์ค่ารักษามากมายในภายหลังแล้ว เรามาดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีกันดีกว่าครับ

ว่ากันด้วยปัจจุบันนี้ เรื่องของสุขภาพนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะต้องดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการกิน การออกกำลังกายที่ถูกต้อง การนั่งทำงานในท่าที่จะไม่เกิดผลเสียในระยะยาวและสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละลายนั้นก็คือเรื่องของ “การดูแลสุขภาพช่องปาก” นั้นเองครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือโรคต่าง ๆ การดูแลสุขภาพของช่องปากนั้น ควรให้ความใส่ใจเป็นอย่างที่ดีมีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งเรามีวิธีดูการดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับวัยรุ่นที่มาสามารถทำตามได้ง่ายๆ กันครับ

สุขภาพช่องปากที่ดีเป็นอย่างไร ?

สุขภาพช่องปากที่ดีนั้น สามารถสังเกตได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีกลิ่นปาก ฟันขาวสะอาดไม่มีคราบหินปูนเกาะฝั่งแน่น เหงือกและรากฟันยึดติดกันอย่างแข็งแรงและไม่มีอาการเจ็บ หรือสามารถสังเกตได้จากช่วงขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันนั้น ไม่ควรมีเลือดออกนั้นเอง

หากพบว่ามีกลิ่นปาก เหงือกมีอาการเจ็บหรือเลือกออกขณะแปรงฟันนั้น สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณของปัญหาสุขภาพช่องปากแล้วหล่ะครับ 

3 วิธีการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง

การดูแลสุขภาพของช่องปาก สามารถทำได้ง่ายๆ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังต่อไปนี้ครับ
1. การแปรงฟันที่ถูกวิธี วิธีแปรงฟันที่กรมอนามัยแนะนำ คือ การแปรงฟันแบบ 2-2-2 คือ
– 2 ที่หนึ่ง แปรงฟันวันละ 2 เวลา เช้า-เย็น เพื่อลดการสะสมของเชื้อจุลลินทรีย์และคราบ plague
– 2 ที่สอง แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์นานอย่างน้อย 2 นาที ให้สะอาดทั่วทั้งปาก ทุกซี่ ทุกด้าน
– 2 ที่สาม ไม่กินขนมหรืออาหารหวานหลังแปรงฟัง 2 ชั่วโมงเพื่อให้ช่องปากสะอาดนานที่สุด เท่าที่จะทำได้

2. ใช้ไหมขัดฟัน การใช้ไหมขัดฟันนั้น ควรใช้ทำความสะอาดบริเวณซอกฟันแตะละซี่ เนื่องจากาบริเวณซอกฟันมักเป็นที่สะสมของเศษอาหารต่างๆ และยังเป็นที่ที่ขนแปรงสีฟันไม่สามารถเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างหมดจด อาจก่อให้เกิดกลิ่นปาก อาการฟันผุหรือเหงือกอักเสบได้ ดังนั้นเราควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อความสะอาดของช่องปากวัยรุ่นอย่างพวกเรานั้นเอง

3. หมั่นตรวจเช็คช่องปากด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีเบื้องต้นในการดูแลสุขภาพของช่องปากว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีกลิ่นปากหรือไม่? มีคราบหินปูนฝังแน่นหรือเกิดฟันผุหรือปล่าว? เราขอแนะนำให้สำรวจอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งหลังจากแปรงฟัน เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพฟันที่ดีนั้นเอง

ปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อยในวัยรุ่น

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหาสุขภาพของช่องปากนั้น มักจะเกิดขึ้นในวัยรุ่น อันเนื่องมาจากวิธีการใช้ชีวิตที่โลดแล่น ผจญภัยหรือทำอะไรหลายๆ อย่าง อย่างสนุกสนานเต็มที่ จึงอาจทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพช่องปากของตนได้ ปัญหาสุขภาพช่องปากที่มักจะเกิดขึ้นในวัยนี้ สามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้

• กลิ่นปาก เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจจะมีสาเหตุมาจากในช่องปากอย่างเดียวหรือมาจากอวัยวะในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารได้อีกด้วย ซึ่งการมีกลิ่นปากอาจส่งผลต่อความมั่นใจของวัยรุ่นได้
• ฟันผุ มักเกิดจากการขาดการดูแลเอาใจใส่หรือละเลยการแปรงฟันหรืออาจทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังไม่ได้ใช้ไหมขัดฟัน กำจัดเศษอาหารที่คงเหลืออย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดฟันผุตามร่องฟันได้ง่ายนั้นเอง 
• ฟันเหลือง สาเหตุมักเกิดขึ้นกับผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ จนเกิดคราบที่เหงือกและฟัน สามารถป้องกันได้ด้วยการลดกิจกรรมหรือเปลี่ยนการกินของเหล่านี้ ร่วมกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ

และนี้คือเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับ “วิธีการดูแลสุขภาพช่องปาก ในวัยรุ่น” ที่เราได้นำมาให้ทุกๆ ท่านได้อ่าน ได้ความรู้เบื้องต้นกันครับ ทั้งนี้หากอาการต่างๆ ท่านผู้อ่านไม่สามารถแก้ไขได้ เราขอแนะนำให้พบทัตนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการดูแลที่ถูกต้องและมีประสิทธิผลครับ